วันพฤหัสบดีที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2553

หลักการกินอาหารตามกรุ๊ปเลือด

กรุ๊ป A คนที่มีเลือดกรุ๊ป เอ จะอ่อนไหวต่อการเป็นมะเร็งได้ง่ายกว่าคนที่มีเลือดกรุ๊ปอื่น เพราะฉะนั้นคนที่มีเลือดกรุ๊ปนี้จึงต้องหมั่นไปตรวจสุขภาพอยู่เป็นประจำ สำหรับคนที่มีเลือดกรุ๊ปนี้เคยสังเกตตัวเองหลังดื่มนมบ้างหรือเปล่า เพราะคนที่มีเลือดกรุ๊ปนี้เวลาทานนมเข้าไปแล้วจะมีอาการท้องอืดแน่นเฟ้อ เรอเหม็นเปรี้ยว เนื่องจากแอนติเจนที่อยู่ในเซลล์ของเลือดกรุ๊ป A จะทำปฏิกิริยากับนม เพราะฉะนั้นจึงควรหลีกเลี่ยงอาหารจำพวก ข้าวสาลี เนื้อติดมัน นม เป็นพิเศษส่วนอาหารที่ควรรับประทานนั้นได้แก่อาหารจำพวกผักใบเขียว ใบเหลือง รวมทั้งธัญพืชและถั่วต่าง ๆ ยิ่งถ้าทานเข้าไปในปริมาณมาก ๆ ก็จะยิ่งดีต่อสุขภาพ






กรุ๊ป B พวกที่อยู่ในเลือดกรุ๊ปนี้ถือเป็นเลือดที่กำเนิดขึ้นมาเป็นอันดับสามของมนุษย์ ว่ากันว่าเลือด กรุ๊ปนี้พึ่งเกิดขึ้นเมื่อคนเรารู้จักเลี้ยงสัตว์ที่ให้นม คนที่มีเลือดกรุ๊ปนี้จึงสามารถรับประทานนมได้โดยไม่มีอาการเรอเหม็นเปี้ยวเหมือนกับเลือดกรุ๊ป A นอกจากนมแล้ว อาหารประเภทเนื้อสัตว์ได้แก่ เนื้อกวาง เนื้อกระต่าย ก็จะเป็นประโยชน์ต่อสุขภาพมาก แต่ควรหลีกเลี่ยงเนื้อไก่





กรุ๊ป O เลือดกรุ๊ปนี้ถือว่าเป็นเลือดกรุ๊ปแรกที่เกิดขึ้น ดังนั้นคนที่มีเลือดกรุ๊ปนี้จะเป็นคนที่มีสุขภาพที่ดีมาก การเลือกรับประทานอาหารควรเลือกที่จะรับประทานเนื้อสัตว์ ได้แก่ เป็ด ไก่ ปลา (ยกเว้นหมู) และควรรับประทานผักผลไม้มาก ๆ เนื่องจากคนสมัยโบราณมักจะหากินเนื้อสัตว์ ไม่ได้กินนม เพราะฉะนั้นคนที่มีเลือดกรุ๊ปนี้จึงควรหลีกเลี่ยงนม เพราะถ้าดื่มนมมีแนวโน้มว่าจะทำให้แผลเน่าเปื่อย หรือเกิดอาการอักเสบได้ง่ายกว่าคนที่มีเลือดกรุ๊ปอื่น





กรุ๊ป AB เป็นเลือดกรุ๊ปสุดท้ายที่เกิดขึ้นในมนุษย์เรา คนที่มีเลือดกรุ๊ปนี้มีเพียงแค่ 2 % เท่านั้นเอง คนที่มีเลือดกรุ๊ปนี้จะมีลักษณะคล้าย ๆ คนเลือดกรุ๊ป B คือระบบการย่อยอาหารนั้นมักจะมีกรดเกิดขึ้นในลำไส้ใหญ่ดังนั้นการเลือกรับประทานเนื้อสัตว์ควรเลือกรับประทานในปริมาณที่น้อย และอย่าบ่อยจนเกินไป อาจสังเกตได้ถ้ามีอาการเรอบ่อยครั้ง

บทกลอนไหว้เจ้า

หนึ่งเดือนอ้าย ไหว้ตรุษจีน ฉลองปีใหม่


เดือนสี่ไซร้ ไหว้เชงเม้ง อากงอาม๊า

ห้าเดือนห้า ไหว้บะจ่าง อร่อยจริงนา

สิบห้าเดือนเจ็ด มาเทกระจาด ไหว้สาร์ทจีน



สิบห้าเดือนแปด กราบพระโพธิสัตย์ ไหว้พระจันทร์

เดือนเก้านั้น ให้กินเจ และถือศีล

เข้าท้ายปี ไหว้เทพเจ้า ไหว้ฟ้าดิน

ลูกหลานจีน ไหว้ทั้งปี มีสุขเอย





"การไหว้เจ้า" เป็นประเพณีที่ชาวจีนประพฤติ ปฏิบัติสืบต่อกันมากว่า 3,000 ปี (สมัยราชวงศ์โจว) เพื่อให้เกิดความสิริมงคล

และนำมาซึ่งความสุขความเจริญรุ่งเรืองแก่ตนเองและครอบครัว ทั้งกิจการงาน ธุรกิจที่ประกอบอยู่ ชาวจีนจึงมีความเชื่อสืบต่อๆ กันมาว่า

ในปีหนึ่งๆ มักจะมีสิ่งเลวร้าย เรื่องไม่ดีงาม เรื่องอัปมงคลมากระทบกระทั่ง หรือรบกวนการดำเนินชีวิตของคนเราจนทำให้เกิดอุปสรรคต่างๆ

เช่น การเจ็บไข้ได้ป่วย การงานติดขัดไม่ราบรื่น เงินทองไม่คล่อง ทำอะไรก็พบแต่ความยุ่งยาก ค้าขายลำบากมีแต่อุปสรรค

บุตรบริวารก่อเรื่องวุ่นวาย นำความยุ่งยากลำบากใจมาให้ หรือเหตุการณ์ต่างๆ ที่ผิดปกติ ทำให้รู้ได้ว่า "ดวงชะตาชีวิต" ไม่ดีนัก

จึงจะต้องมีการขวนขวายหาที่พึ่ง จึงทำให้ก่อกำเนิดประเพณี การไหว้เจ้า ไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ และ ไหว้บรรพบุรุษขึ้น





ขนมไหว้





ซาลาเปา (หมี่ก้วย หรือ หมี่เปา) -ไม่มีไส้ เรียกว่า หมั่นโถว มีแบบที่ทำจาหัวมัน เนื้อออกสีเหลือง และแบบไม่ผสมมัน เนื้อออกสีขาว

นิยมทำให้แตกเหมือนดอกไม้บาน ถ้าลูกเล็กจะแต้มจุดแดง ลูกใหญ่จะปั๊มตัวหนังสือสีแดง เขียนว่า ฮก แปลว่า โชคดี

-มีไส้ นิยมไส้ เต้าซา แป้งไม่ผสมมัน หน้าไม่แตก มีตัวหนังสือปั๊มว่า เฮง แปลว่าโชคดี

ซิ่วท้อ เป็นซาลาเปาพิเศษ ทำเป็นรูปลูกท้อ ใส้เต้าซา เพราะถือว่าเป็นผลไม้สวรรค์ ใช้ในงานวันเกิด ใครได้กินอายุจะยืนยาว

หนึงกอ (ขนมไข่) ใช้ไหว้ได้ทุกอย่าง

ก๊าก้วย (ฮวกก้วย) "ฮวก" แปลว่า งอกงาม / "ก้วย" แปลว่า ขนม ใช้กับงานมงคลเป็นส่วนใหญ่

เช่นงานแต่งงาน งานขึ้นบ้านใหม่ บนหน้าขนมปั๊มตัวหนังสือตรงกลาง "ฮวดไช้" คำที่อยู่รอบนอก คือ "เฮง" แปลว่า โชคดี

คักท้อก้วย มีไส้ข้าว ไส้กุยช่าย ไส้ผัดผักกะหล่ำ ไส้ถั่ว นวดกับแป้งผสมสีแดง เป็นสีนำโชค ใช้ไหว้เจ้าที่ หรือไหว้บรรพบุรุษ

จับกิ้ม (แต่เหลียง) หรือที่คนไทย เรียกว่า "ขนมจันอับ" ใช้ไหว้เจ้าได้ทุกประเภท ประกอบด้วยขนม 5 อย่าง คือ

- เต้ายิ้งปัง คือ ขนมถั่วตัด

- มั่วปัง คือ ขนมงาตัด

- ซกซา คือ ถั่วเคลือบน้ำตาล

- กวยแฉะ คือ ฟักเชื่อม

- โหงวจ๊งปัง คือ ขนมข้าวพอง

ตั่วเปี้ย คนไทยเรีกว่า "ขนมเปี๊ย"

- แบบเจ เรียกว่า "เจเปี้ย" มีไส้มังสวิรัติ เช่น ไส้เต้าซา

- แบบชอ เรียกว่า "ชอเปี้ย" ใส่มันหมู ใช้ไหว้เจ้าได้ทุกอย่าง

ทึ้งถะ คือ เจดีย์น้ำตาล ซึ่งต้องมีทึ้งไซ หรือสิงห์น้ำตาล มีไว้เพื่ออารักขาเจดีย์

ใช้ไหว้เทพยดาฟ้าดิน ในวันที่ 9 เดือน 1 ของทุกปีและสามรถใช้ไหว้เจ้าแม่กวนอิมในวันไหว้พระจันทร์ได้

โหงวก้วย-โหงวอั้ง หรือขนมลูกหลาน ใช้ไหว้คนตายในงานศพเท่านั้น ทำจากแป้งข้าวเจ้า

ทั้งแบบเกลี้ยง และแบบแต่งถั่วดำ กินไม่อร่อย แต่ใช้ในการทำพิธี

น้ำตาล นำน้ำตาลมาใส่ถุง ติดกระดาษแดง สามารถใช้ไหว้ได้ทุกอย่าง

กระดาษเงินกระดาษทอง

คนจีนเชื่อกันว่า เมื่อตายไปแล้วจะไปยังอีกภพโลกหนึ่ง เรียกว่า "อิมกัง"

ดังนั้นลูกหลานจึงต้องส่งเงินทองไปให้ เพื่อแสดงความกตัญญู ด้วยการไหว้เจ้า แล้วเผากระดาษเงินกระดาษทองไปให้

และการไหว้เจ้ายังเป็นสิริมงคลแก่ลูกหลาน ให้มีความสุขความเจริญ ซึ่งกระดาษเงินกระดาษ

ทองบางแบบใช้ไหว้เจ้า บางแบบใช้ไหว้บรรพบุรุษ

กอจี๊ หรือ จี๊จุ้ย เป็นกระดาษเงินกระดาษทองชิ้นใหญ่ มีกระดาษแดงตัดเป็นลายตัวหนังสือว่า "เผ่งอัน"

เป็นคำอวยพร แปลว่า โชคดดีใช้สำหรับไหว้เจ้าที่ ไหว้เทพยดาฟ้าดิน

กิมจั้ว หรือ งึ้งจั๊ว หมายถึงกระดาษเงินกระดาษทอง เวลาจะไหว้จะทำเป็นชุด

ก่อนไหว้ลูกหลานจ้องนำมาพับเป็นรูปดอกไม้ ใช้ไหว้ได้ทุกอย่าง

กิมเต้า หรือ งึ้งเต้า หรือถังเงินถังทอง ใช้ไหว้เจ้าที่ ไหว้เทพยดาฟ้าดิน

กิมเตี๊ยว คือ แท่งทอง ใช้ไหว้บรรพบุรุษ ไหว้คนตาย

ค้อซี คือ กระดาษทอง ก่อนใช้ให้พับเป็นรูปร่างก่อน เช่น พับเป็นเรือ เรียกว่า "เคี้ยวเท่าซี"

เชื่อกันว่าการพับเรือ จะไก้มูลค่าสูงกว่าการพับอย่างอื่นใช้ไหว้ได้ทุกอย่าง รวมทั้งไหว้คนตาย

โดยเฉพาะพิธีทำกงเต๊ก ลูกหลานต้องพับค้อซี ให้มากที่สุด

อิมกังจัวยี่ คือแบงก์กงเต็กนั่นเอง

อ่วงแซจิ่ว ใช้เผาเป็นใบเบิกทาง ไปสวรรค์สำหรับผู้ตาย

เพ้า คือ ชุดของเทพเจ้า คล้ายกับที่คนไทยถวายผ้าห่มพระพุทธรูป มีการทำของเจ้าหลายองค์

เช่น ชุดของเจ้าแม่กวนอิม เจ้าแม่ทับทิม พระพุทธ

ตั้วกิม เป็นกระดาษเงินกระดาษทองที่ญาติสนิทนำไปไหว้ผู้ตายการเผากระดาษเงินกระดาษทองจะต้องทิ้งไว้สักพัก

เพื่อให้ทุกคนได้เส้นไหว้เสร็จ ก็จะทำการ "เหี่ยม" หรือจบเหนือศีรษะ ระหว่างนี้ให้ทำการอธิฐานขอพรไปด้วย

แล้วจึงนำไปเผา เมื่อไฟมอดแล้วจึงไหว้ลา เป็นการเสร็จพิธี







ผลไม้ไหว้เจ้า









ส้ม คำจีนเรียกว่า "ไต้กิก" แปลว่า โชคดี

--------------------------------------------------------------------------------

องุ่น คำจีนเรียกว่า "พู่ท้อ" หมายถึง งอกงาม

--------------------------------------------------------------------------------

สับประรด คำจีนเรียกว่า "อั้งไล้" แปลว่า มีโชคมาหา

--------------------------------------------------------------------------------

กล้วย คำจีนเรียกว่า "เกงเจีย" มีความหมายถึงการมีลูกหลานสืบสกุล

--------------------------------------------------------------------------------

การเขียนพู่กันจีน

书法(ซูฝ่า) การเขียนพู่กันจีนมีประวัติความเป็นมายาวนานคู่กับประเทศจีน ถือเป็นศิลปะขั้นสูงหนึ่งในสี่อย่างของชนชาติจีน คือ การเขียนพู่กันจีน การวาดภาพ การบรรเลงเครื่องสาย และการเล่นหมากรุกจีน นอกจากจีนแล้วการเขียนพู่กันจีนยังเป็นที่นิยมในหมู่ชาวเอเชียอย่าง ญี่ปุ่น เกาหลี เวียตนามและสิงคโปร์ ผู้ที่จะเรียนพู่กันจีนควรมีพื้นฐานภาษาจีนเพื่อที่จะรู้วิธีเขียนอักษรแต่ละตัวให้เป็น การเขียนพู่กันจีนเป็นทั้งศาสตร์และศิลป์ ไม่เพียงสื่อสารความคิดของผู้เขียน ยังแสดงถึงลักษณะเส้นสายที่มีจังหวะการเขียนและองค์ประกอบของตัวหนังสือที่งดงาม บ่งบอกถึงลักษณะนิสัยของเจ้าของลายมือและเป็นการฝึกสมาธิที่ดีอย่างหนึ่งอีกด้วย นักเขียนพู่กันจีนที่มีชื่อเสียงของจีนมีอยู่หลายท่าน เช่น หวางซีจือ(ลูกชายท่าน หวางเสี้ยนจือก็ขึ้นชื่อว่ามีลายมืองดงามเช่นกัน), โอหยางสุน(เราชอบลายมือท่านนี้ที่สุดค่ะ), หลิวกงเฉวียน, ซูซื่อ, ซูเว่ย ฯลฯ ในงานของศิลปินตะวันตกสองท่านคือ Picasso และ Matisse จะเห็นได้ชัดว่าได้รับอิทธิพลของการเขียนพู่กันจีนด้วย




อักษรจีนจะมีโครงสร้าง ๓ ลักษณะ คือวงกลม สามเหลี่ยมและสี่เหลี่ยม แต่ละตัวมีจำนวนขีดและจุดที่แน่นอน การฝึกเขียนพู่กันจีนต้องเริ่มฝึกด้วยการลอกจากแบบตัวหนังสือทีละตัว ทีละขีดให้แม่นยำ และจะเขียนให้เก่งก็ต้องฝึกฝนบ่อยๆเท่านั้น



อุปกรณ์ที่ใช้

๑. กระดาษ

๒. หมึกจีนหรือแท่งฝนหมึก

๓. พู่กัน

๔. จานรองหมึก

๕. ที่ทับกระดาษ

๖. ที่รองกระดาษเวลาเขียนกันหมึกซึม

๘. ตราประทับชื่อ



แบบตัวอักษรที่ใช้เขียนมี ๕ แบบคือ

๑. จ้วนซู กำหนดรูปแบบขึ้นมาในสมัยราชวงศ์เฉิน เป็นแบบที่เก่าที่สุดและยังใช้ฝึกเขียนจนทุกวันนี้ ตราประทับมักแกะสลักด้วยตัวหนังสือประเภทนี้

๒. ลี่ซู นิยมเขียนกันมากในสมัยราชวงศ์ฮั่น ตัวหนังสือจะออกแป้นๆ การเขียนเน้นที่การลากหางเป็นเส้นหนา ปัจจุบันใช้ในงานตกแต่งหรืองานศิลปะมากกว่า

๓. เฉ่าซู ลักษณะตัวหนังสือแบบหวัด

๔. สิงซู ลักษณะตัวหนังสือหัวดแกมบรรจง

๕. ข่ายซู ลักษณะตัวหนังสือแบบบรรจง

เกี๊ยวจีน

หัวข้อ : เกี๊ยวของจีน






ถ้าจะกล่าวว่า เกี๊ยวเป็นอาหารที่เป็นส่วนประกอบสำคัญของวัฒนธรรมจีนก็คงไม่เกิน เลยนัก เกี๊ยวเป็นอาหาร่ดั้งเดิมของจีน คนในบ้านรับประทานเกี๊ยวมีความหมายว่า อยู่พร้อมหน้ากัน ถ้าทำ เกี๊ยวต้อนรับแขก มีความหมายว่า ยินดีต้อนรับแขกผู้มีเกียรติ ถ้าชาวต่างชาติเดินทางไปเมืองจีน แต่มิได้ลองชิมเกี๊ยวจีน เมื่อกลับประเทศของตนแล้ว เพื่อนเขาอาจเยาะเย้ยเขาว่าไปไม่ถึงเมืองจีน



เกี๊ยวคืออาหารจีนประเภทหนึ่ง เปลือกข้างนอกเป็นแป้งสาลี ข้างในมีไส้ ในอดีต เกี๊ยวเป็นอาหารสำหรับเทศกาล โดยเฉพาะ อย่างยิ่ง ในวันสุกดิบ ครอบครัวชาวจีนแต่ละครอบครัวจะต้องรับประทานเกี๊ยว ตามขนบธรรมเนียมประเพณีจีน วิธีการทำและรับ ประทานเกี๊ยวพิถีพิถันมาก



ก่อนอื่นจะพูดถึงการทำไส้เกี๊ยว ไส้เกี๊ยวมีประเภทมังสวิรัติและ ประเภทมีเนื้อสัตว์ แต่โดยปกติแล้ว ไส้เกี๊ยวจะผสมด้วยเนื้อและผัก ในขั้นตอนทำไส้เกี๊ยว การสับไส้ให้ละเอียดเป็นขั้นตอนที่พิถีพิถันมาก กล่าวคือ นำเนื้อ ผักและเครื่องปรุงต่าง ๆ มาผสมเข้าด้วยกัน แล้ววางบนเขียงไม้สี่เหลี่ยมสำหรับหั่นผัก ใช้มีดสับผัก เนื้อและเครื่องปรุงอาหารต่าง ๆ ให้ละเอียด เวลาสับไส้ เกี๊ยว มีดกระทบกับเขียงไม้สี่เหลี่ยม เกิดเสียงดัง เพิงๆ เนื่องจากแรงที่ใช้ในการสับไส้มีการเปลี่ยนแปลงเป็นจังหวะ เสียงที่เกิดจากการกระทบกันระหว่างมีดกับ้เขียงไม้ จึงเสมือนเสียงดนตรีที่มีจังหวะงดงาม ตามธรรมเนียมประเพณี ชาวจีนมักจะใช้เนื้อและผักผสมเป็นไส้เกี๊ยว เสียงสับไส้ยิ่งนานยิ่งดังก็หมายถึง มีทรัพย์สินเหลือมากและนาน เพราะเสียงของคำว่าเนื้อและผักรวมกันจะคล้ายกับเสียงคำว่า มีทรัพย์ นอกจากนี้แล้ว ถ้าใช้เวลานานในการสับไส้เกี๊ยวยังเป็นการแสดงว่า บ้านของตนทำเกี๊ยวมาก เป็นสัญลักษณ์แสดงว่า มีชีวิตที่มั่งคั่ง



เมื่อไส้เกี๊ยวทำเสร็จแล้ว รูปลักษณะของเกี๊ยวก็มีความพิถีพิถันมากเช่นกัน เกี๊ยวในท้องถิ่นต่าง ๆ ของจีนมักจะทำเป็นรูปจันทร์เสี้ยว ถ้าจะห่อเกี๊ยวให้เป็นรูปจันทร์เสี้ยว ควรจะพับเปลือกเกี๊ยวที่เป็นรูปกลมให้ซ้อนกันก่อน แล้วใช้นิ้วหัวแม่มือ และนิวชี้ปั้นตามส่วนที่เป็นริมขอบของเปลือกเกี๊ยว ตามการออกเสียงของภาษาจีน การปั้นเกี๊ยว เรียกว่า เนียฝู ซึ่งมีความหมายว่า จับโอกาสที่มีความสุขความเจริญไว้ให้มั่น บาง ครอบครัวทำเกี๊ยวให้มีรูปลักษณะที่เป็น หยวนเป่า ซึ่งเป็นเงินในสมัยโบราณของจีน การทำเกี๊ยวในรูปลักษณะดังกล่าวนี้จะมีความหมายว่า มีทรัพย์สินเต็มพื้น มีเงินทองเต็มบ้าน ในเขตชนบท ชาวกสิกรจะทำเกี๊ยวที่มีลวดลาย คล้ายรวงข้าวสาลี เป็นสัญลักษณ์แสดงว่า ในรอบปีใหม่นี้ จะมีการเก็บเกี่ยวที่อุดมสมบูรณ์



หลังปั้นเกี๊ยวเสร็จเรียบร้อยแล้ว ขั้นตอนต่อมาคือ ต้มเกี๊ยว ต้องรอให้น้ำในหม้อเดือดก่อน แล้วจึงจะใส่เกี๊ยวลงไปทีละลูกตามลำดับ หลังจากนั้น ใช้ทัพพีค่อย ๆ คน เพื่อทำให้เกี๊ยวในหม้อไม่ติดกัน ในระหว่างต้มเกี๊ยว ต้องเติมน้ำเย็นลงในหม้อ ๓ ครั้งแบบเว้นระยะ ตามการออกเสียงของภาษาจีน การกระทำเช่นนี้เรียกว่า ฝั่นฝู ซึ่งหมายความว่า ให้ความสุขกลับคืนมา ใช้เวลา ประมาณ ๑๐ หรือ ๒๐ นาที เกี๊ยวก็ต้มสุก และมีกลิ่นหอม



การรับประทานเกี๊ยวนั้นก็ต้องทำตามขนบประเพณี เกี๊ยวชามแรก ใช้ในการบูชาเซ่นไหว้บรรพบุรุษ เพื่อเป็นการแสดงความเคารพและไว้อาลัย บรรพบุรุษที่ล่วงลับไปแล้ว เกี๊ยวชามที่ ๒ ใช้ในการบูชาเซ่นไหว้เทพเจ้าที่ชาวจีนนับถือ เช่น เทพเจ้าแห่งเตาเป็นต้น ผู้เฒ่าผู้แก่ยังจะท่องกลอนเป็นคำ อธิษฐานด้วย



เกี๊ยวชามที่ ๓ จึงเป็นชามที่สำหรับให้คนในบ้านรับประทาน ระหว่างรับประทาน เกี๊ยว ควรจำจำนวนเกี๊ยวที่รับประทานให้แม่น จำนวนเกี๊ยวที่รับประทานควรจะเป็นเลขคู่ ทั้งนี้เพื่อเป็นสิริมงคล ผู้เฒ่าบางคนรับประทานเกี๊ยวไป และพูดคำว่า ไฉ้โต ไฉ้โต ซึ่งหมายความว่า มีทรัพย์สินมาก ๆ



หลังรับประทานเกี๊ยวเสร็จเรียบร้อยแล้ว ชาม จาน หม้อที่ใช้ในการต้มและบรรจุเกี๊ยวควรทิ้งไว้ อย่าล้าง ทั้งนี้ หมายถึง เหลือกินเหลือใช้ทุกปี



วันสุกดิบของแต่ละปี เกี๊ยวเป็นอาหารที่ขาดไม่ได้ คนที่ทำงาน เรียนหนังสือหรือทำธุรกิจอยู่ห่างบ้านจะต้องเดินทางกลับบ้านเพื่อจะได้อยู่ พร้อมหน้าพร้อมตากันกับคนที่บ้าน สมาชิกทั้งครอบครัวจะ อยู่ร่วมกันช่วยกันปั้นเกี๊ยว รับประทานเกี๊ยว ร่วมกันเฉลิมฉลองวันเทศกาลในบรรยากาศที่มีความสุข ในชีวิตประจำวันจริง เกี๊ยวนอกจากมีความหมายทางวัฒนธรรมแล้ว สิ่งที่เกี่ยวข้องกับเกี๊ยวก็มีการเปลี่ยนแปลงไปมากแล้วเช่นกัน เช่น ปัจจุบันนี้ ชาวเมืองมักจะไม่ปั้นเกี๊ยวด้วยตนเอง เมื่อถึงวันเทศกาล ชาวเมืองมักจะไปซื้อเกี๊ยวตามห้างร้านต่าง ๆ บางครอบครัวนิยมไปรับประทานเกี๊ยวที่ร้านอาหารแทนที่จะ ใช้เวลามาทำเกี๊ยว แม้แต่ในชนบท ปัจจุบันนี้ ขนบประเพณีเกี่ยวกับการรับประทานเกี๊ยวก็ลดน้อยลงมาก

วันอาทิตย์ที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2553

กลอนเพราะๆๆๆๆ

作者: 李白



李白乘舟将欲行,忽闻岸上踏歌声。
桃花潭水深千尺,不及汪伦送我情。


【按】白游泾县桃花潭,村人汪伦常酿美酒以待,伦之裔孙至今宝其诗。


กล่าวถึงหลี่ไป๋ท่องเที่ยวที่บ่อน้ำเถาฮวา (ดอกท้อ)ที่เมืองจิงเซี่ยน (泾县) แห่งมณฑลอันฮุย (安徽 An1 Hui1) ชาวบ้านที่ชื่อวางหลุนมักจะต้มเหล้าชั้นดีมาต้อนรับ





คำศัพท์




汪伦 Wang1 Lun2 วางหลุน


赠汪伦 Zeng4 Wang1 Lun2 เจิ้งวางหลุน


李白 Li3 Bai2 หลี่ไป๋ กวีสมัยราชวงศ์ถัง


踏歌 ta4 ge1 ร้อง(เพลง)และเต้น


桃花 tao2 hua1 ดอกท้อ


潭 tan2 บ่อลึก


不及 bu4 ji2 เทียบไม่ได้ ไม่ทัน

节拍 jie2 pai1 จังหวะจะโคน ท่วงทำนอง